Eka Global Fights Trump's Tariffs, Seeks Opportunity in the Middle East
06 八月 2025
Suwatcharee Pormbunmee, August 6, 2025, Cover Story
India's economy is projected to have passed its lowest point and is entering a recovery phase, mainly driven by monetary and fiscal policies. This strategic positioning has made India an attractive country to foreign investors and has lessened the impact of the trade war. India is not a country that relies primarily on exports for its income (it exports medicine but is not negatively affected) and is known more for its service exports. The first factor that limited India's negative impact from the trade war was its skilled technology personnel. India's diplomatic stance with superpowers and its transition from an agricultural to an industrial country have positioned it to potentially benefit from future production base relocations, which would help avoid the effects of the trade war. According to the Reserve Bank of India's (RBI) "State of the Economy" report from June 2568, the Indian economy remains resilient and stable despite pressure from international trade policy uncertainty and geopolitical tensions.
In the fourth quarter of 2024, India's GDP was 6.5%. It is expected to be 6.4% in the 2025-2026 fiscal year and increase to 6.7% in the 2026-2027 fiscal year.
Thai entrepreneurs considering investment in India must consider external factors such as tariff barriers, household debt, and geopolitical issues, but overall, the Indian economy is strong, supported by the agricultural, industrial, and service sectors. Chaiwat Nantiruj is one Thai entrepreneur who has invested in India, establishing a factory for extended-shelf-life food packaging in 2019. He believes the Indian market is continuously growing.
"Since we invested and built a factory in Pune, India, because we saw the potential of a continuously growing market, as evidenced by the commercial production with a capacity of 300 million pieces per year at the end of 2024, the overall picture of the Indian market is one of exponential growth at 30-40% per year. Eka Global's sales in the first four months of this year increased by almost 50%, leading to a projection that total sales in India for 2025 will exceed 400 million baht," said Chaiwat Nantiruj, CEO of Eka Global Company Limited.
Chaiwat has set a long-term goal of 3-5 years to increase Eka Global's customer base in India to 800, up from the current 300 customers. Further investment will be considered based on the economic situation and conditions, as the current factory has space for future production line expansion.
Trump's tax policy is another factor affecting investment and the economy, requiring entrepreneurs to constantly analyze the market and assess the situation.
Eka Global's executives estimate that Thailand may be impacted by the market situation because the Thai economy relies heavily on exports, which account for more than half of its GDP. Additionally, the proportion of exports to the US is over 20-30% of total exports. Eka Global's customers export over 70% of their products to the US. Based on discussions with customers, if the Thai tax rate ends up at 35-36%, the impact may be unavoidable. The initial forecast is that sales could decrease by no less than 10-15%, which would put Thailand at a disadvantage compared to its neighboring countries due to the higher tax rate, making it difficult to compete.
Chaiwat added that Eka Global and its customers are monitoring and waiting for the negotiations on Trump's tariffs to stabilize and for the final tax rate to be determined before adjusting their strategy and preparing both short-term and long-term solutions.
Chaiwat has set a growth target of 1.4 billion baht for this year, despite facing the situation of Trump's tax policy. "We have set a target for total sales growth this year at 1.4 billion baht. Although overall sales in the first half of the year are still growing well, on target with a 10-15% increase from the previous year, the unresolved situation with Trump's tax war makes the future picture unclear, and we may consider lowering the target depending on the situation," he said.
The company also has short-term and long-term strategies to deal with the uncertainty. "From a short-term perspective of the next three months, the impact of Trump's tariffs will not directly affect sales, as every country is affected by these tariffs. Eka Global has advance orders, and the company's main customers are in the
Ready-To-Eat and premium pet food industries, which focus on high-innovation packaging. This makes it difficult to switch product orders to new countries," he explained.
Eka Global will assess the situation on a short-term basis of 2-3 months until a conclusion is reached on Trump's tariffs. After that, in the long term, the company will re-evaluate and plan with its customer base on how to adjust its export strategies to the US and other countries.
Looking for new markets is a crucial matter that entrepreneurs in almost every industry must consider because it means business survival in a global economy disrupted by the US. "Amidst a global economy facing challenges from slowing purchasing power and the risk factor of Trump's tariff war, the company is preparing to market more aggressively in India because it is a market with good growth opportunities. The Indian market is hardly affected by Trump's tariff policy because India focuses on domestic sales, which account for over 80% of its market, so the company is not directly affected in this area. However, we are still looking for opportunities to expand into new markets, especially in the Middle East, which is a very interesting market because there are no taxes on exports from India to the Middle East. The company has already started studying this market and expects that if successful, it will be able to enter the market within 2-3 years," Chaiwat concluded.
เอกา โกลบอล สู้ภาษีทรัมป์ หาโอกาสในตะวันออกกลาง
Suwatcharee Pormbunmee สิงหาคม 6, 2025 Cover Story
อินเดียถูกคาดการณ์ว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจได้ผ่านระดับต่ำสุดไปแล้ว และกำลังเข้าสู่ภาวะฟื้นตัว ด้วยแรงหนุนจากนโยบายการเงินเป็นหลัก และนโยบายการคลัง
นอกจากนี้ การวางตัวอย่างนี้ช่วยหนุนให้อินเดียเป็นประเทศเนื้อหอมในสายตาต่างชาติ ลดผลกระทบสงครามการค้า
ซึ่งอินเดียไม่ได้เป็นประเทศที่มีรายได้หลักจากการส่งออกสินค้า (ส่งออกยารักษาโรค แต่ไม่ได้รับผลกระทบเชิงลบ) แถมยังเด่นด้านการส่งออกบริการมากกว่าด้วยซ้ำ โดยเฉพาะบุคลากรสายเทคโนโลยีเป็นปัจจัยแรกที่ช่วยให้ประเทศอินเดียได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าที่จำกัด
การวางตัวทางการทูตกับประเทศมหาอำนาจ และการอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนจากประเทศเกษตรกรรมไปเป็นอุตสาหกรรม กลับกลายเป็นสิ่งที่ช่วยหนุนให้อินเดียอาจรับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตในอนาคต เพื่อเลี่ยงผลจากสงครามการค้า
ข้อมูลจาก State of the Economy ฉบับเดือนมิถุนายน 2568 ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ระบุว่า เศรษฐกิจอินเดียยังคงความยืดหยุ่นและมั่นคงแม้อยู่ภายใต้แรงกดดันจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
GDP ของอินเดียในไตรมาส 4 ปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 6.5 และคาดกันว่าปีงบประมาณ 2568-2569 เศรษฐกิจอินเดียจะอยู่ที่อัตราร้อยละ 6.4 และจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 6.7 ในปีงบประมาณ 2569-2570
สิ่งที่ผู้ประกอบการไทยต้องพิจารณาหากจะลงทุนในอินเดีย อาจจะมีปัจจัยภายนอก เช่น กำแพงภาษี ปัญหาหนี้ครัวเรือน และปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ แต่ภาพรวมของเศรษฐกิจอินเดียยังแข็งแกร่ง โดยมีแรงหนุนจากภาคเกษตร อุตสาหกรรมและบริการ
ชัยวัฒน์ นันทิรุจ เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการไทยที่เข้าไปลงทุนตั้งโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารในอินเดียตั้งแต่ปี 2562 มองว่าตลาดอินเดียมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“นับตั้งแต่ที่เข้ามาลงทุนตั้งโรงงานที่เมืองปูเน ประเทศอินเดีย เพราะเรามองเห็นศักยภาพของตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ดูได้จากการเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ด้วยกำลังการผลิต 300 ล้านชิ้นต่อปี เมื่อปลายปี 2567 ภาพรวมของตลาดอินเดียคือ เป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด 30-40% ต่อปี และเอกา โกลบอลเองในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ยอดขายเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 50% ทำให้คาดการณ์ว่า ยอดขายในอินเดียทั้งปี 2568 น่าจะสูงกว่า 400 ล้านบาท” ชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด ให้ข้อมูล
ขณะที่เป้าหมายในระยะยาว 3-5 ปี ชัยวัฒน์ตั้งเป้าหมายว่า เอกา โกลบอล จะต้องขยายฐานลูกค้าในอินเดียเพิ่มขึ้นเป็น 800 ราย จากปัจจุบันมีลูกค่าอยู่ประมาณ 300 กว่าราย ส่วนการลงทุนเพิ่มเติมจะพิจารณาตามสถานการณ์และสภาวะเศรษฐกิจ โดยโรงงานปัจจุบันมีพื้นที่ที่สร้างเผื่อไว้สำหรับการขยายไลน์ผลิตในอนาคตแล้ว
นโยบายภาษีทรัมป์เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุน เศรษฐกิจ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องวิเคราะห์ตลาดและประเมินสถานการณ์อยู่ตลอด
ด้านผู้บริหารเอกา โกลบอล ประเมินว่า “ประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ตลาด เนื่องจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกเป็นสัดส่วนสูงกว่าครึ่งของจีดีพี และมีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ กว่า 20-30% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ส่วนกลุ่มลูกค้าของเอกา โกลบอล มีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ กว่า 70%
และจากการพูดคุยกับกลุ่มลูกค้า พบว่าผลกระทบนี้อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากอัตราภาษีของไทยจบลงที่ 35-36% คาดการณ์เบื้องต้นจะทำให้ยอดขายมีโอกาสลดลงไม่ต่ำกว่า 10-15% ซึ่งไทยจะเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้านเพราะสัดส่วนภาษีสูงกว่า ทำให้แข่งขันได้ยาก”
ชัยวัฒน์เสริมว่า เอกา โกลบอล และกลุ่มลูกค้ายังคงเฝ้าติดตามและรอให้การเจรจาภาษี ทรัมป์ ของแต่ละประเทศนิ่งและได้ตัวเลขอัตราภาษีสุดท้ายก่อน เพื่อปรับกลยุทธ์และเตรียมโซลูชันไว้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
ขณะที่ชัยวัฒน์ตั้งเป้าหมายการเติบโตของปีนี้ไว้ที่ 1,400 ล้านบาท แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์ด้านนโยบายภาษีทรัมป์ “เราตั้งเป้าการเติบโตด้านยอดขายรวมทั้งปีเอาไว้ที่ 1,400 ล้านบาท แม้ว่าภาพรวมยอดขายครึ่งปีแรกยังคงเติบโตได้ดีตามเป้ากว่า 10-15% จากปีก่อน แต่ด้วยสถานการณ์สงครามภาษีของทรัมป์ที่ยังไม่สิ้นสุด ทำให้ยังมองภาพได้ไม่ชัดเจนนัก อาจมีการพิจารณาลดเป้าลงตามสถานการณ์”
นอกจากนี้ ยังมีกลยุทธ์ระยะสั้นและระยะยาว สำหรับเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอน “มุมมองในระยะสั้น 3 เดือนนี้ ผลกระทบจากภาษีทรัมป์จะยังไม่ส่งผลต่อยอดขายโดยตรง เนื่องจากภาษีทรัมป์เป็นเรื่องที่ทุกประเทศได้รับผลกระทบ ขณะที่ เอกา โกลบอล จะมีคำสั่งซื้อล่วงหน้า โดยกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมอาหารพร้อมรับประทาน (Ready-To-Eat) และอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียม ที่เน้นบรรจุภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมสูง ทำให้การปรับเปลี่ยนคำสั่งสินค้าไปประเทศใหม่เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
เอกา โกลบอล จะประเมินสถานการณ์เป็นระยะสั้นๆ 2-3 เดือน ไปจนกว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องภาษีทรัมป์ หลังจากนั้นในระยะยาว บริษัทฯ จะประเมินและวางแผนรับมือร่วมกับกลุ่มลูกค้าอีกครั้งว่าจะมีการปรับกลยุทธ์การส่งออกไปยังสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ อย่างไร”
การมองหาตลาดใหม่เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการแทบจะทุกอุตสาหกรรมต้องพิจารณา เพราะนั่นหมายความถึงทางรอดของธุรกิจในภาวการณ์ที่สหรัฐฯ สร้างความโกลาหลทางเศรษฐกิจต่อนานาประเทศ
“ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่เผชิญหน้ากับความท้าทายจากกำลังซื้อที่ชะลอตัว รวมถึงปัจจัยเสี่ยงจากสงครามภาษีของทรัมป์ บริษัทฯ เตรียมลุยทำการตลาดในประเทศอินเดียมากขึ้น เพราะเป็นตลาดที่มีโอกาสขยายตัวได้ดี ตลาดอินเดียแทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการปรับขึ้นภาษีของทรัมป์ เนื่องจากอินเดียเน้นการขายภายในประเทศเป็นหลักกว่า 80% ซึ่งทำให้บริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงในส่วนนี้ แต่เรายังมองหาโอกาสการขยายตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งถือเป็นตลาดที่น่าสนใจมาก เพราะการส่งออกจากอินเดียไปตะวันออกกลางจะไม่มีภาษี โดยบริษัทฯ ได้เริ่มศึกษาตลาดนี้แล้ว และคาดว่าหากสำเร็จจะสามารถเข้าสู่ตลาดได้ภายใน 2-3 ปี” ชัยวัฒน์กล่าวทิ้งท้าย
